วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

การจัดการกระบวนการพัฒนากลยุทธ์


การจัดการกระบวนพัฒนากลยุทธ์ (Managing the Strategy Development Process) หรือพูดแบบง่ายคือกระบวนที่
ใช้ในการจัดทำกลยุทธ์

คำถามส่วนใหญ่เกี่ยวกับกลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจใหม่จะกังวลเกี่ยวกับเนื้อหาของกลยุทธ์ ผู้จัดการมีความกังวลว่าเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมหรือไม่ แต่คำถามที่ผู้จัดการส่วนใหญ่มักไม่ได้ถามคือ กระบวนการที่ใช้พัฒนากลยุทธ์ เพื่อให้ได้กลยุทธ์และนำกลยุทธ์นั้นทำอย่างไร

กระบวนการจัดทำกลยุทธ์ (Processes of Strategy Formulation)
ในทุกบริษัทมีสองกระบวนการที่เกิดพร้อมกันในการจัดทำกลยุทธ์คือ 1) กระบวนการจัดทำกลยุทธ์แบบที่ตั้งใจ (Deliberate strategy) และ 2) กระบวนการจัดทำกลยุทธ์ตามสถานการณ์ (Emergent strategy)
กระบวนการจัดทำกลยุทธ์แบบที่ตั้งใจ (Deliberate strategy) เป็นกระบวนการใช้สติและการวิเคราะห์ มักจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของตลาด ขนาดของตลาด ความต้องการลูกค้า จุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่งขัน แนวโน้มเทคโนโลยี กลยุทธ์ที่จัดทำมีลักษณะเป็นโครงการ คือมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด การนำไปปฏิบัติมีลักษณะจากระดับบนลงสู่ระดับล่าง (Top-down) การจัดทำกลยุทธ์แบบนี้เป็นวิธีที่เหมาะสม ถ้าผ่านการทดสอบ 3 ประการคือ 1) กลยุทธ์ต้องครอบคลุมและระบุรายละเอียดที่ถูกต้องทั้งหมดในการบรรลุความสำเร็จ และผู้นำไปปฏิบัติต้องเข้าใจรายละเอียดที่สำคัญ ๆ ของกลยุทธ์ที่ฝ่ายบริหารเป็นผู้กำหนด  2) หากดำเนินการร่วมกัน กลยุทธ์ต้องเป็นสิ่งที่มีความหมายกับบุคลากรทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพนักงานหรือผู้บริหาร ทั้งนี้เพื่อให้พนักงานดำเนินการได้อย่างสอดคล้องและเหมาะสม 3) ความตั้งใจร่วมกันต้องตระหนักว่ามีสิ่งที่มีอิทธิพลที่คาดไม่ถึงน้อยมากจากภายนอกเช่น ด้านการเมือง เทคโนโลยี หรือตลาด
เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขทั้ง 3 ประการแล้ว จะพบว่ายากมากที่มีกลยุทธ์เกิดขึ้นตามที่ตั้งใจไว้ กลยุทธ์ที่นำไปปฎิบัติจริงๆ มักเปลี่ยนแปลงไปตามผลกระทบของกลยุทธ์แบบสถานการณ์

กระบวนการจัดทำกลยุทธ์แบบสถานการณ์ (Emergent strategy) เกิดขึ้นในองค์กรจากการปฏิบัติการประจำวันและการตัดสินใจการลงทุนของผู้บริหารระดับกลาง วิศวกร พนักงานขาย พนักงานด้านการเงิน สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้มักเกิดจากการตัดสินใจในการปฏิบัติงานประจำวันไม่ใช่เกิดจากคนที่มีมองเห็นอนาคต หรือคนที่ความคิดเชิงกลยุทธ์

ตัวอย่างเช่น กรณี Sam Walton ตัดสินใจสร้างร้านที่ 2 ในเมืองเล็กๆใกล้กับร้านแรกในเมือง Arkansas ด้วยเหตุผลด้านโลจิสติกส์และประสิทธิภาพการจัดการมากกว่าจะสร้างอาคารในเมืองใหญ่ กลายเป็นกลยุทธ์ที่เฉียบคมของ Wal-Mart ในการสร้างร้านค้าแบบประหยัดในเมืองเล็กที่จะใหญ่พอที่ทำให้คู่ต่อสู้ไม่สามารถเข้ามาในตลาดได้

กลยุทธ์แบบสถานการณ์เกิดจากผู้จัดการตอบสนองต่อปัญหาและโอกาสที่ไม่สามารถเห็นได้จากการวิเคราะห์และการวางแผนตามขั้นตอนของกระบวนการสร้างกลยุทธ์แบบตั้งใจ เมื่อกลยุทธ์ถูกพัฒนาขึ้นก็มีโอกาสที่จะปรับปรุงและใช้ประโยชน์และเปลี่ยนแปลงเป็นกลยุทธ์แบบตั้งใจได้ในที่สุด กระบวนการจัดทำกลกลยุทธ์ตามสถานการณ์เหมาะสมกับสถานการณ์ซึ่งอนาคตไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า กลยุทธ์แบบใดจึงจะเหมาะสม มักเกิดขึ้นในระยะแรกของการก่อตั้งบริษัท

ความสำคัญของบทบาทในการจัดสรรทรัพยากรในกระบวนการพัฒนากลยุทธ์
(The Crucial Role of Resource Allocation in the Strategy Process)

ความคิดและสิ่งใหม่ๆไม่ว่าจะเป็นแบบตั้งใจหรือแบบเกิดขึ้นตามสถานการณ์ได้รับการกรองผ่านกระบวนการจัดสรรทรัพยากร (Resource allocation process) การจัดสรรทรัพยากรเป็นตัวกำหนดว่ากลยุทธ์แบบตั้งใจและแบบตามสถานการณ์จะได้รับการสนับสนุนเงินทุนและการนำไปปฏิบัติ และกลยุทธ์อะไรที่ถูกปฏิเสธเรื่องทรัพยากร ผลของกลยุทธ์ที่เกิดขึ้นจริงคือ การลงทุนในผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ กระบวนการใหม่ และการซื้อกิจการ (Acquisition)  ซึ่งได้รับการจัดสรรทรัพยากรซึ่งเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและสามารถเกิดขึ้นในทุกระดับของปฏิบัติการ

ตัวอย่างการจัดสรรทรัพยากรในการจัดทำกลยุทธ์ของ Intel
Intel เป็นผู้ผลิตหน่วยความจำในสมัยนั้นเรียกว่า DRAM ในปีค.ศ. 1971 ปรากฏว่าวิศวกรค้นพบไมโครโพรเซสเซอร์โดยบังเอิญในโครงการผลิตเครื่องคิดเลขให้บริษัทญี่ปุ่น ในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของโรงงานมีหลักการว่าจะผลิตชิ้นส่วนที่มีกำไรต่อหน่วยมากที่สุด โรงงานจะจัดสรรเครื่องจักรและทรัพยากรให้ก่อน ในสมัยนั้น DRAM มีการแข่งขันสูงเนื่องจากจากการเข้ามาแข่งขันของประเทศญี่ป่น ทำให้ ไมโครโพรเซสเซอร์ มีกำไรต่อหน่วยมากกว่า DRAM โรงงานจึงเลือกผลิตไมโครโพรเซสเซอร์แต่ผู้บริหารระดับสูงยังวางแผนและลงทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี DRAM ในท้ายที่สุดโรงงานก็เลิกผลิต DRAM

มี 3 สิ่งที่ผู้บริหารสามารถช่วยให้กระบวนจัดทำการกลยุทธ์มีประสิทธิภาพ
1) ต้องควบคุมต้นทุนเริ่มต้นของการทำธุรกิจใหม่แบบระมัดระวังเพราะจะเป็นตัวกำหนดคุณค่าที่ใช้ในการตัดสินใจในการจัดสรรทรัพยากรของธุรกิจ
2) เร่งกระบวนการเมื่อเกิดกลยุทธ์ตามสถานการณ์ เพื่อทำให้แน่ใจว่าแผนธุรกิจได้รับการออกแบบและทดสอบและยืนยันข้อสมมติฐานที่สำคัญโดยใช้เครื่องมือเช่น Discovery-driven planning
3) แทรกแซงโดยใช้ดุลพินิจว่าสถานการณ์แบบไหนที่ธุรกิจจะต้องปฏิบัติตามกลยุทธ์ตามสถานการณ์หรือแบบตั้งใจ

ที่มา: เรียบเรียงจาก The Innovator’s Solution (2003)


ไม่มีความคิดเห็น: